มหาศรัทธาบุชาสถานแห่ง 3 ศาสนา มุมไบ ออรังกาบัต 5D 4N


พาคนรู้ใจไปกับเรา Public Holiday

Hilight

บินตรง Full service + บินไฟล์ภายใน / พักหรู 4 ดาว

ชม "ลานซักผ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก" บุมไบ สถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ซื่อดัง

เยือนถ้ำ 3 ศาสนา "ถ้ำแอลโรล่า" ชมความอลังการสถาปัตยกรรมอันวิจิตร

ชมทัชมาฮาลน้อย "BiBiKa Maqbara" อนุสรณ์สถานแห่งความรัก

เยือนถ้ำ 3 ศาสนา "ถ้ำแอลโรล่า" ชมความอลังการ สถาปัตยกรรมอันวิจิตร

นั่งเรือส่วนตัวชม ถ้ำเกาะช้าง สถานที่ที่สร้างถวายพระศิวะ

ชมกลิ่นอายตะวันตกที่มุมไบ เช็คอินสถานที่ต่าง ๆ เช่น ประตูอินเดีย , สถานีรถไฟวิคตอเรีย , วัดสิทธิวินัยยัค , บ้านคานธี

รายละเอียดทัวร์

ราคาเริ่มต้น : 39900 ประเทศ : ทัวร์เอเชีย จำนวนวัน : 5 วัน 4 คืน เดือนที่ออกเดินทาง : วันที่ 14 - 18 , 21 - 25 มีนาคม 63 สายการบิน : AIR INDIA (AI)

วันที่ 1 - กรุงเทพฯ – มุมไบ – ออรังกาบัต

03.00 น.

คณะพร้อมกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ ชั้น 4 ประตูทางเข้าที่ 9-10 แถว W สายการบินแอร์ อินเดีย (AI) โดยเจ้าหน้าที่บริษัทฯ คอยต้อนรับและอำนวยความสะดวกให้กับทุกท่าน

05.40 น.

ออกเดินทางสู่ มุมไบ โดยสายการบิน แอร์อินเดีย เที่ยวบินที่ AI331

08.20 น.

เดินทางถึง ฉัตราปตีศิวะจิ (ChhatrapatiShivaji) ท่าอากาศยานมุมไบเดิมชื่อ บอมเบย์ (Bombay) ที่ตั้งอยู่บนริมฝั่งทะเลอาหรับในประเทศอินเดีย ท่ามกลางชายฝั่งที่ทอดยาวกับภูเขาสูงที่ปกคลุมด้วยป่าเขตร้อนชื้นและป่าผลัดใบ มุมไบมีความสำคัญในฐานะเป็นเมืองท่าที่สำคัญทางฝั่งทะเลอาหรับของอินเดีย และเป็นเมืองหลวงของรัฐมหาราษฏระ ในช่วงเวลาระหว่าง พ.ศ. 2230 – 2503 คำว่าบอมเบย์ เป็นทั้งชื่อเมืองและชื่อรัฐที่เมืองบอมเบย์เป็นศูนย์กลาง โดยใน พ.ศ. 2230 บริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษได้ใช้เมืองบอมเบย์เป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ และสถาปนาเขตปกครองของตนเองขึ้น เมื่ออินเดียได้รับเอกราชใน พ.ศ. 2490 บอมเบย์ยังมีฐานะเป็นรัฐของอินเดีย จน พ.ศ. 2503 จึงแบ่งรัฐบอมเบย์ออกเป็นสองส่วนตามภาษาที่ใช้ คือบริเวณที่ใช้ภาษาคุชราตตั้งเป็นรัฐคุชราต และส่วนที่ใช้ภาษามราฐีตั้งเป็นรัฐมหาราษฏระ โดยบอมเบย์เป็นเมืองหลวงของรัฐมหาราษฏระ คำว่าบอมเบย์จึงหมายถึงชื่อเมืองเพียงอย่างเดียวที่ว่าของคำว่าบอมเบย์มีที่มาหลายอย่าง บ้างว่ามาจากชื่อเทพธิดาในท้องถิ่นคือมุมบาเทวี บ้างว่ามาจากภาษาโปรตุเกส Bombahia แปลว่าอ่าวที่ดี บอมเบย์ มีลักษณะเป็นเกาะเล็ก 7 เกาะที่เชื่อมรวมกัน ต่อมา ได้รวมเข้ากับเกาะซาลเซตต์ทางด้านเหนือ บริเวณนี้เป็นแหล่งที่อยู่ของมนุษย์มาแต่โบราณ บ้างว่าเกี่ยวข้องกับพระนางมุมบาเทวี ซึ่งเป็นเทพฮินดูประจำเมืองหมู่เกาะบอมเบย์ใน พ.ศ. 2077 ตกอยู่ภายใต้อำนาจของโปรตุเกสที่เข้ามาบุกเบิกการค้าทางทะเล ต่อมา เมืองนี้กลายเป็นสินสอดของชาลส์ที่ 2 แห่งอังกฤษ เมื่อพระองค์อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงแคเทอรีนแห่งโปรตุเกสเมื่อ พ.ศ. 2204 และพระเจ้าชาลส์ที่ 2 ได้ให้บริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษเช่าเกาะนี้ใน พ.ศ. 2011 ซึ่งทางบริษัทได้เข้ามาตั้งสำนักงานที่นี่เมื่อ พ.ศ. 2230 เมื่อการค้าเจริญรุ่งเรือง ทำให้บอมเบย์กลายเป็นเมืองที่มีการพัฒนาตามแบบตะวันตก และเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยบอมเบย์ ที่เป็นมหาวิทยาลัยแห่งที่ 2 ในอินเดีย และยังมีบทบาทในการเรียกร้องเอกราชเพราะเป็นที่ประชุมครั้งแรกของสภาคองเกรสแห่งชาติอินเดียเมื่อ พ.ศ. 2428 ชมมุมไบ กลิ่นอายตะวันตกในฉบับอินเดีย มุมไบ (Mumbai) หรือ บอมเบย์ (Bombay) ในอดีต มีฐานะเป็นเมืองหลวงของรัฐมหาราษฏระ ตั้งอยู่ทางตะวันตกของประเทศอินเดีย ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นหมู่เกาะ 7 เกาะ ที่แยกออกจากแผ่นดิน ก่อนจะเชื่อมต่อกันเมื่อร่องน้ำลำคลองตื้นเขินและกลายเป็นแหลมยื่นออกไปใน ทะเลยาว 22 กิโลเมตร อย่างในปัจจุบันแม้ผ่านพ้นช่วงเวลา ของการตกเป็นอาณานิคมมานานแล้ว แต่เสน่ห์ของความเป็นตะวันตกยังคงหลงเหลือให้เราได้สัมผัสอยู่ตลอดเส้นทางใน เมืองมุมไบ ตึกรามบ้านช่อง และอาคารสำคัญๆ ขนาดใหญ่ ก่อสร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบโกธิคยังมีให้เห็นมากมาย..ผ่านชม ถ่ายรูป เป็นที่ระลึก มรดกโลก แห่งแรก สถานีรถไฟวิคตอเรียเทอมินาส หรือในชื่ออินเดียใหม่ว่า ฉัตรปตี ศิวาจีเทอมินาส ที่ได้รับการตั้งชื่อตามพระนาม พระราชินีวิคตอเรีย ก่อสร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมแบบวิคตอเรียโกธิค ผสมผสานกับงานศิลปะแบบอินเดียอันทรงคุณค่าจนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก.. นำท่านชม โดบิกาต Dhobi Ghat ลานซักผ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลกแหล่งซักผ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลกกลางนครมุมไบ ใช้ลูกจ้างซักผ้ามากกว่าห้าพันคนต่อวันไม่ใช่แค่ Slum Dog Millionaire เท่านั้นที่ใช้ฉากหลังจากชุมชนแห่งนี้ ภาพยนตร์เรื่อง Dhobi Ghat เองก็บอกเล่าเรื่องราวความแออัดจากฉากในสลัมเช่นกัน โดยโดบิกาต (Dhobi Ghat) มีชื่อเสียงขึ้นมาจากการเป็นลานซักผ้าเปิดโล่งที่ใหญ่ที่สุดใ นมุมไบและใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งคำว่า “Dhobi” แปลว่า “ผู้ซัก” นั่นเองโดบิกาต กลายเป็นจุดสนใจของนักท่องเที่ยว เพราะเป็นที่ที่ชาวตะวันตกไม่เคยเห็นมาก่อน มีจุดให้ผู้มาเยือนเดินเที่ยวชมและถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกลับไป จนกลายเป็นเอกลักษณ์ของอินเดียที่เต็มไปด้วยความอึกทึก วุ่นวาย แต่ยังคงเสน่ห์ในแบบนั้นไว้เป็นอย่างดี ดังเช่นที่พบในซีรีส์อินเดียจันทรคุปต์ ศึกรักชิงบัลลังก์ก็มีเสน่ห์ต่างไปอีกแบบเช่นกัน นำท่านเดินทางสู่ วัดสิทธิวินัยยัค (Siddhivinayak Temple) ซึ่งเป็นวัดที่เก่าแก่ ในศาสนาฮินดู สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1801 ภายในเป็นที่ประดิษฐานองค์ “พระพิฆเนศ” เทพเจ้าแห่งความสำเร็จ ซึ่งตั้งอยู่ในองค์มณฑปศักดิ์สิทธิ์ ที่ท่านจะสามารถสัมผัสได้ถึงพลังศรัทธา ทันทีที่ท่านก้าวเข้าสู่ภายในวัดที่คลาคล่ำไปด้วยฝูงชนที่มาเคารพสักการะ หลังจากที่ท่านได้สักการะองค์ท่านแล้ว จะมีพิธีกรรมที่ประหลาดอีกอย่างที่จำเป็นต้องทำคือ ให้ท่านได้กระซิบคำอธิษฐานต่อรูปปั้นหนู 2 ตน ที่ถือเป็นพระสหายขององค์ท่านด้วย จากนั้นให้ท่านได้บูชาเครื่องราง,รูปบูชาขององค์ท่านตามอัธยาศัย

กลางวัน

บริการอาหารกลางวัน ณภัตตาคาร

จากนั้นนำท่านเดินทางสู่นามบินเพื่อเดินทางไป ออรังกาบัด

15.25 น.

ออกเดินทางสู่ ออรังกาบัด โดยสายการบิน แอร์อินเดีย เที่ยวบินที่ AI442

16.45 น.

เดินทางถึงท่าอากาศยาน เมืองออรังกาบัด นำท่านเดินทางเข้าสู่ที่พัก “เมืองออรังกาบัด” ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองมุมไบ รัฐมหาราษฏระ ครอบคลุมพื้นที่ 200 ตร.กม. เป็นเมืองที่เป็นที่ตั้งของแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับการจดทะเบียนโดย UNESCO ให้เป็นมรดกโลกถึง 2 แห่ง ได้แก่ถ้ำอะจันตาและถ้ําเอลโลร่าซึ่งเป็นศาสนสถานที่ขุดเข็าไปในหินบาซอล์ต( แกรนิตแข็ง) โดยขุดจากหินก้อนเดียวจนเป็นวิหารขนาดใหญ่ตั้งขึ้นเมื่อปี 2153 โดยสุลต่าน MurtazaNizam Shah II บนหมู่บ้านชื่อ Khirkiและได้เปลี่ยนชื่อเป็นFatehpurต่อมาเป็นศูนย์บัญชาการของกษัตริย์ Aurangazebแห่งราชวงศ์โมกุล (Moghul) ซึ่งใช้เมืองนี้เป็นฐานในการปกครองอินเดียตอนใต้จากนั้น จึงได้เปลี่ยนชื่อเป็น “ออรังคาบัด” ตามชื่อของกษัตริย์ดังกล่าว

บริการอาหารค่ำ ณ โรงแรม

ที่พัก Lemon Tree Aurangabad หรือเทียบเท่า


วันที่ 2 - ออรังกาบัด - ถ้ำอะจันต้า - ออรังกาบัด

เช้า

บริการอาหารเช้า ณโรงแรม

นำท่านเดินทางสู่.. ถ้ำอชันต้า (ระยะทาง 110 กม. ใช้เวลา 2.30 ชม.) มรดกโลกแห่งที่สาม ถ้ำอะชันต้า (AJANTA CAVE) ตั้งห่างจาก เมืองออรังกาบาด ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 110 กิโลเมตร ถือเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอินเดียถ้ำอะชันต้า ถ้ำมรดกโลก (ถ้ำจะทำการปิดให้บริการทุกวันจันทร์) แบ่งออกเป็น 2 ยุคโดยในยุคแรกประมาณศตวรรษที่2 ก่อนคริสตศักราช ได้ถูกสร้างออกมาในรูปลักษณะของ วิหาร (วัตถุประสงค์เพื่อปฏิบัติสมาธิ–ของเหล่าพระภิกษุ) และ “เจดีย์ (เพื่ออุทิศแด่องค์พระพุทธเจ้า) มีหลักฐานเป็นภาพเขียนสีน้ำบนผนังที่ถ่ายทอดถึงเรื่องราวชาดกเข้าใจถึงพุทธประวัติเพราะมีการใช้ดอกบัวเป็นสัญลักษณ์แทนพระพุทธเจ้าโดยตามความเชื่อของชาวเถรวาทยุคที่สองประมาณคริสศตวรรษที่ 5-6 ได้มีการเพิ่มเติมโดยแกะสลักพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์หลายพระองค์บนเจดีย์และบนผนังวิหารในแบบความเชื่อแบบใหม่หรือตามแบบของชาวมหายาน ถ้ำอะชันต้า ( AJANTA CAVES ) ถือเป็นถ้ำที่มีการเจาะเป็นปราสาทที่มีขนาดใหญ่จนได้รับเป็น สิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของโลกที่มีอายุมากกว่า2000ปีและภายในถ้ำก็มีถ้ำมหึมาขนาดใหญ่อีกกว่า 30ถ้ำ โดยผนังถ้ำมีภาพจิตกรรมฝาผนังที่มีอายุนับกว่า 1200 ปี

กลางวัน

รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น

บริเวณใกล้ ถ้ำอะชันต้า เยี่ยมชมนำท่านเข้าชม สถาปัตยกรรม ของถ้ำอะชันต้าตั้งแต่ถ้ำแรก กองโบราณคดีอินเดียแนะนำว่าควรเข้าชมถ้ำ 1, 2, 9, 10, 16, 17, 19 ที่มีความงดงามลือเลื่องชวนซาบซึ้ง และพลาดไม่ได้กับถ้ำ 26 เกร็ดย่อ

ถ้ำเบอร์ 1 เป็นวัดถ้ำสร้างถวายพระโพธิสัตว์ ถือเป็นถ้ำที่สมบูรณ์ที่สุดถ้ำหนึ่งของกลุ่มวัดถ้ำอชันตา แกะสลักภายในถ้ำจะมีเรื่องราวพุทธประวัติ เทพเจ้า สถูป สัตว์ พระโพธิสัตว์วัชรปาณี รูปแกะสลักตอนพระพุทธเจ้าแสดงปฐมเทศนาที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน สารนาถ ใกล้เมืองพาราณสี ภาพจิตกรรมมีภาพพระโพธิสัตว์ ภาพพิชิตมารก่อนตรัสรู้ ภาพมเหสีของนันดะกำลังเศร้าโศรกที่ท่านกำลังจะออกบวชพระนันทเถรศากยะ เป็นพระภิกษุสาวก

ถ้ำเบอร์ 2 เป็นถ้ำของฝ่ายมหายานมีชื่อเสียงด้านภาพวาด ส่วนใหญ่เป็นภาพดอกบัว

ถ้ำเบอร์ 3 เป็นถ้ำเล็กๆไม่มีค่อยมีอะไรน่าสนใจ

ถ้ำเบอร์ 4 มีความกว้างใหญ่ที่สุดในบรรดาถ้ำทั้งหมด ด้านหน้ามีรูปแกะสลักพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร อีกทั้งพระพุทธรูปปางประทับยืน ส่วน

ถ้ำเบอร์ 5 ยังทำการสร้างไม่เสร็จ

ถ้ำเบอร์ 6 มีพระพุทธรูปปางแสดงปฐมเทศนาที่มีพระสรีระแตกต่างจากถ้ำอื่นอีกทั้งเป็นหินชนิดเดียวกับถ้ำรอบๆองค์พระพุทธรูปมีภาพวาดที่ผนังและเพดาน ทางด้านซ้าย ของถ้ำมีตัวหนังสือเขียนไว้ว่า MUSICAL PILLARS (ใช้สันมือกระแทกหรือเคาะที่กลางเสาจะมีเสียงดังกังวาลออกมา)

ถ้ำเบอร์ 7 ด้านในของถ้ำ มีพระพุทธรูปแกะสลักที่ผนังถ้ำ ลักษณะคล้ายกับครั้งที่พระพุทธองค์ทรงแสดง ยมกปาฏิหาริย์ แตกต่างจากถ้ำเบอร์ 2 ตรงที่เป็นภาพวาด แต่ที่ถ้ำเบอร์ 7 นี้แกะสลักหินแทน อีกทั้งตรงกลาง ประดิษฐานพระประธานรายล้อมไปด้วยพระพุทธรูป ปางประทับยืน และ เหล่าเทพเทวดา

ถ้ำเบอร์ 9 และ 10 เป็นถ้ำของเถรวาท ภายในเป็นห้องโถงสูงยาว มีช่องรับแสงอยู่ด้านบน

ถ้ำเบอร์ 11-12-13 ส่วนใหญ่ใช้เป็นที่พักอาศัยไม่มีรายละเอียด เพียงแต่ที่ถ้ำเบอร์ 12 มีองค์พระประธาน

ถ้ำเบอร์ 14 เป็นถ้ำเล็กๆ ที่นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันมาใช้เป็นสำนักงาน

ถ้ำเบอร์ 16 เป็นของฝ่าย มหายาน มีภาพ พระนางชนบทกัลยานี ที่เพิ่งแต่งงานกับ พระนันทะ กำลังเฝ้ารอพระสวามีกลับมาด้วยความโศกเศร้า ภายหลังจากที่พระพุทธ องค์ทรงพาพระนันทะไปบวชภายในยังมีพระประธานในถ้ำเช่นเดียวกัน ฯลฯ

ถ้ำเบอร์ 17

ถ้ำเบอร์ 18 เป็นถ้ำรูปสี่เหลี่ยมมีแกะสลักเสาแปดเหลี่ยมเป็นฐานรองรับตัวถ้ำ

ถ้ำเบอร์ 19 ภายในถ้ำมีเจดีย์ขนาดเล็กโดยมีเสาล้อมรอบตัวองค์เจดีย์เล็ก องค์เจดีย์ตรงกลางมีภาพแกะสลักพระพุทธรูปบนยอดเป็นฉัตรสามชั้นซ้อนกัน

ถ้ำเบอร์ 20 มีขนาดเล็ก บางส่วนคล้ายกับถ้ำหมายเลข 1 และเสาหลักคล้ายถ้ำหมายเลข 2 มีนาค มกร ห้องโถงไม่มีแกะสลักเสาบางเสาแกะสลักยังไม่เสร็จสมบูรณ์ มีการแกะสลักเจดีย์ทรงสิกขร

ถ้ำเบอร์ 21 ภายในมีภาพแกะสลักคล้ายกับถ้ำที่ผ่านมาเช่นตัวมกร นาค ยักษ์ ยักษี

ถ้ำเบอร์ 22 มีขนาดเล็ก มีภาพแกะสลักพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์มัณชูศรี พระโพธิสัตว์ไมตรียะใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ฐานเป็นดอกบัว

ถ้ำเบอร์ 23-25 ยังสร้างไม่สมบูรณ์

ถ้ำเบอร์ 26 ปรากฎภาพสลักตอนพระพุทธเจ้าผจญมารอิสตรีที่มาล่อลวงและพระพุทธรูปปางปรินิพพานทางด้านซ้ายซึ่งพุทธศาสนิกชนจากทั่วทุกสารทิศมากราบนมัสการ ท่องบทสวดสรรเสริญพระพุทธองค์ผู้ทรงนำทางสว่างในใจพุทธศาสนิกชนทั่วโลก

ได้เวลาสมควรนำท่านเดินทางกลับเมืองออรังกาบาดเส้นทางเดิม โดยทางรถ ( ใช้เวลาประมาณ 2.30 ชั่วโมง ) ชม บีบี กา มักบารา (BiBiKaMaqbara) สร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความรัก สร้างโดยพระโอรสของออรังเซบ ทรงสร้างเพื่อรำลึกถึงพระมารดา พระนาง บีกัมราเบีย อุเด ดาราณี สถาปัตยกรรมลักษณะคล้ายทัชมาฮาล ให้ท่านได้ช้อปปิ้งเลือกซื้อสินค้าตามอัธยาศัยที่ ออรังกาบัด

ค่ำ

บริการอาหารค่ำ ณ โรงแรม

ที่พัก Lemon Tree Aurangabad หรือเทียบเท่า


วันที่ 3 - ออรังกาบัด - ถ้ำแอลโรล่า - ออรังกาบัด - มุมไบ

เช้า

บริการอาหารเช้า ณโรงแรม

นำท่านเดินทางสู่ ถ้ำเอลโลร่า (ถ้ำปิดวันอังคาร) ระยะทาง 30 กม.ประมาณ1ชม. ถ้ำของ3ศาสนาอินดูพุทธและเชน ที่อยู่รวมกัน เป็นอีกหนึ่งกลุ่มถ้ำที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกในปี 2526 ตั้งอยู่ในเทือกเขาจรนันทรี ถูกสร้างขึ้นในช่วงระหว่างพุทธศตวรรษที่12 ถึง15 โดยการเจาะเข้าไปในภูเขาเช่นเดียวกับกลุ่มถ้ำอะจันต้าที่เรียงตัวจากเหนือไปใต้เป็นระยะทางรวมกันประมาณ 2 กิโลเมตร ภายในมีภาพแกะสลักของเหล่าทวยเทพที่มีความวิจิตรงดงามหาชมได้ยาก ระหว่างทางผ่านชม ป้อมเดาลาตาบัดป้อมปราการโบราณรอบภูเขาดัลคีรี ซึ่งเคยเป็นเมืองหลวงของราชวงศ์      ยารวะ และถูกกษัตริย์อลาอุดดินคัลจิ ชาวมุสลิมยึดได้ใน พ.ศ. 1839 กลายเป็นเมืองหลวงอินเดียภายใต้การปกครองของกษัตริย์มุสลิมอยู่พักหนึ่ง ก่อนถูกทิ้งร้างย้ายไปสร้างเมืองออรังกาบัด ชมซากมัสยิดที่ยังเหลือซากเสาจำนวน 106 ต้น ชมป้อมปราการ พระราชวังบนเสาอายุกว่า 700 ปี เยี่ยมชม มรดกโลกแห่งที่สี่ ถ้ำเอลโลร่า (ELLORA CAVES) (ถ้ำจะปิดให้บริการทุกวันอังคาร ) ชมความงามที่ยิ่งใหญ่ของหมู่ถ้ำที่เกิดจากการเจาะแกะสลักภูเขาหินทั้งลูกด้วยฝีมือสาวก 3 ศาสนาที่แข่งขันกันคือ ศาสนาฮินดู พุทธ และเชนถ้ำเอลโลร่ามีทั้งหมด 34 ถ้ำ โดยมีการแบ่งออกเป็น ถ้ำทางพุทธศาสนา 12 ถ้ำ ถัดมา 17 ถ้ำคือ เทวาลัยของชาวฮินดู และ วิหารถ้ำลักธิ เชน 5 ถ้ำ สถานที่ แห่งนี้ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น มรดกโลก ในปี 1983 ถือเป็นถ้ำที่เกิดจากการแกะสลักภูเขาทั้งลูกออกเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับ ศาสนา นำท่าน กราบนมัสการ พระพุทธรูปที่มีอายุมากกว่า 1200 ปี ภายในถ้ำยังมีภาพแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงอีกมากมาย อาทิ องค์พระศิวะ พระพรหม พระนารายณ์ พระพิฆเนศ ช้างเอราวัณ อีกทั้งภาพของนางอัปสร เป็นต้น ถ้ำที่ 16 ถือเป็นถ้ำที่อลังการที่สุด เป็นที่ที่มีศิวลึงค์เป็นจุดศูนย์กลาง

กลางวัน

บริการอาหารกลางวัน ณภัตตาคาร

นำท่านเดินทางกลับสู่ ออรังกาบัด แวะให้ท่านช้อปปิ้ง ซื้อของที่ระลึก ตามอัธยาศัย อาทิ เช่น เครื่องทองเหลือง ผ้าปักลายโบราณที่จำลอง มาจากผนังถ้ำ อายุ 1,200ปี และเครื่องประดับลวดลายแปลกตา

ค่ำ

บริการอาหารค่ำ ณ โรงแรม ได้เวลาอันสมควร นำท่านเดินทางสู่ สนามบิน

20.20 น.

ออกเดินทางสู่ มุมไบ โดยสายการบิน แอร์อินเดีย เที่ยวบินที่ AI441

21.35 น.

เดินทางถึง สนามบินมุมไบ นำท่านไปยังโรงแรมที่พัก

ที่พัก Lemon Tree Premire Airport Mumbai หรือเทียบเท่า


วันที่ 4 - มุมไบ - ถ้ำเกาะช้าง - มุมไบ

เช้า

บริการอาหารเช้า ณโรงแรม

นำท่านชม เมืองมุมไบ นั่งเรือส่วนตัว นำท่าน ล่องเรือกลางมหาสมุทรอินเดีย สู่ เกาะช้าง (Elephant Island) หรือ ฆรบุรี ถ้ำช้าง ตั้งอยู่บนเกาะกลางอ่าวหน้าเมืองมุมไบประมาณ 1500 กว่าปีมาแล้วกษัตริย์ราชวงศ์ไตรกูฏกะปกครองดินแดนที่ราบสูงเผ่าเดคข่านตะวันตกของอินเดียได้มีรับสั่งให้ทำการสร้างถ้ำนี้ขึ้นเพื่ออุทิศถวายเป็นเทวสถานแด่องค์พระศิวะเทพ จากนั้นนำท่านเคลื่อนย้ายต่อโดยเปลี่ยนเป็นนั่ง รถไฟจิ๋ว (วิ่งโดยไม่มีคนขับเนื่องมาจากใช้ระบบคอมพิวเตอร์ในการควบคุม) ระยะทางไม่ถึงกิโลเมตรก็ถึงที่หมายรถไฟจะทำการจอดให้ลงพร้อมเดินขึ้นเขาเพื่อไปเยี่ยมชม ถ้ำช้าง ตลอดทางขึ้นจะมีพ่อค้าแม่ค้านำสินของมาวางขายอยู่เกลื่อนกลาด ผนังถ้ำส่วนแรกจะเป็นภาพสลักตอน “ศิวนาฎราช” ลักษณะพระศิวะเจ้าทรงแสดงการฟ้อนรำโดยกระบวนท่านาฏยศาสตร์ 108 ท่าเพื่อให้อัฎจักรทุกสิ่งในจักวาลเคลื่อนที่ไปอย่างสมดุล (คล้ายกับปราสาทพนมรุ้ง) กลางถ้ำมีประติมากรรมรูปมเหศวรตรีมูรติ“ หรือพระศิว3หน้าหรือรูปปั้น 3 เศียรมีความสูงเกือบ 20 ฟีด (TRIMURTI) พระพักตร์ตรงกลางเป็นพระศิวะผู้เมตตากรุณาหรือเรียกว่า “จันทรเศษมูรติ“ พระพักตร์ทางด้านซ้าย จะเป็นพระศิวะปางดุร้ายเรียกว่า “ไภรวะ” พระพักตร์ทางด้านขวา จะเป็นใบหน้าสตรี ซึ่งหมายถึง “พระอุมาภควดี” ซึ่งเป็นอัครมเหสีของพระองค์)ถัดมานำท่านชมความงดงามของภาพ “ROYAL WEDDING“ ระหว่างพระศิวะกับพระอุมา (มีเรื่องเล่ากันว่าก่อนชาติพระอุมาพระนางได้เกิดมาในนามอื่นนั่นคือพระสตีพ่อตาเกิดรังเกียจลูกเขยอีกทั้งพูดจาถากถางดูถูก พระนางสตีจึงทำการโดดเข้ากองไฟเพื่อปกป้องเกียรติของพระสวามี ต่อมาเมื่อพระศิวะทราบจึงแผลงฤทธิ์ทำการสังหารคนที่ทำให้หญิงคนรักต้องจากไปจากนั้นพระองค์ก็แบกศพของนางสตีวิ่งร่ำไห้ไปรอบจักรวาลประดุจ จะขาดใจเมื่อสิ้นนางและพระองค์ก็ไม่ทำการชายตามองหญิงอื่นใดเลยจนกระทั่งพระสตีกลับชาติมาเกิดใหม่ เป็นเทพธิดาแห่งภูเขาหิมาลัยนามว่าพระอุมา“ชมภาพพระศิวะปราบอันธกาสูธ หมายถึงปราบปีศาจแห่งความมืด) ถัดมาด้านข้างตัวถ้ำมีโพรงใหญ่ใต้พื้นเป็นแอ่งน้ำธรรมชาติเขียวใสคนอินเดียถือว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์เพราะอยู่ใต้ถ้ำ... ได้เวลาสมควร นำท่านเดินทางกลับเข้าฝั่ง

กลางวัน

บริการอาหารกลางวัน ณภัตตาคาร

นำท่านชม “มุมไบ กลิ่นอายตะวันตกในฉบับอินเดีย ”มุมไบ (Mumbai) หรือ บอมเบย์ (Bombay) ในอดีต มีฐานะเป็นเมืองหลวงของรัฐมหาราษฏระ ตั้งอยู่ทางตะวันตกของประเทศอินเดีย ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นหมู่เกาะ 7 เกาะ ที่แยกออกจากแผ่นดิน ก่อนจะเชื่อมต่อกันเมื่อร่องน้ำ ลำคลองตื้นเขินและกลายเป็นแหลมยื่นออกไปใน ทะเลยาว 22 กิโลเมตร อย่างในปัจจุบันแม้ผ่านพ้นช่วงเวลา ของการตกเป็นอาณานิคมมานานแล้ว แต่เสน่ห์ของความเป็นตะวันตกยังคงหลงเหลือให้เราได้สัมผัสอยู่ตลอดเส้นทางใน เมืองมุมไบ ตึกรามบ้านช่อง และอาคารสำคัญๆ ขนาดใหญ่ ก่อสร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบโกธิคยังมีให้เห็นมากมาย..ท่านชมทัศนียภาพเมือง “มุมไบ”หรือนครลอนดอนแห่งอินเดียที่เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมอันงดงามครั้งเมื่ออังกฤษยังปกครองอยู่ มีทั้งแบบอังกฤษโกธิค แบบอินเดียผสมอาหรับนำชม ประตูสู่อินเดีย (Gateway of India) ริมฝั่งทะเลอาระเบียน ซึ่งถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองมุมไบ สร้างขึ้นเพื่อเป็น “อนุสรณ์ในการเสด็จมาเยือนมุมไบของพระเจ้าจอร์จที่ 5 และสมเด็จพระราชินีแมรี่” ในปี ค.ศ.1911 เพื่อทรงร่วมงานเดลีดารบัร ความงดงามของสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานศิลปะของท้องถิ่น กับแบบมุสลิมของรัฐคุชราต ประกอบกับความสูงกว่า 80 ฟุต ของประตูสู่อินเดีย ทำให้ที่นี่เป็นที่หมายสำคัญแห่งแรกๆ ของนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่เดินทางมาสู่มุมไบถ่ายรูปคู่กับ ประตูชัย (Gateway of India) จนถึงเวลานัดหมาย นำท่านช้อปปิ้งที่ตลาด เมืองมุมไบ จากนั้นนำท่านชม บ้านมหาตมะ คานธีอดีตสถานที่ส่วนตัวของมหาตมะ คานธี ได้รับการดัดแปลงให้เป็นพิพิธภัณฑ์เล็กๆ สูง 3 ชั้นสำหรับสายตาคนไทย แต่สำหรับอินเดียจะนับชั้นอาคารแบบตะวันตกโดยนับชั้นแรกเป็นชั้นล่าง ชั้นบนคือชั้นหนึ่ง และไล่ลำดับเลขขึ้นไปเรื่อยๆ โดยพื้นที่อันเงียบสงบแห่งนี้ยังคงบอกเล่าเรื่องราวชีวิตและเก็บรวบรวมสิ่งต่างๆ ของบุรุษผู้สร้างแรงบันดาลใจให้กับนักต่อสู้ทั่วโลก รุ่นแล้วรุ่นเล่า Gandhi Museum Mani Bhavan บ้านที่คานธีเคยพักในช่วงปี ค.ศ. 1917-1934 โดย ShriRevashankarJagjeevanJhaveri เจ้าของบ้านผู้ศรัทธาและอุทิศตนให้คานธีนั้น นับเป็นสถานที่สำคัญอย่างมาก ซึ่งนักท่องเที่ยวมุ่งหวังจะเดินทางมาสัมผัสกลิ่นอายประวัติศาสตร์ เรียนรู้ชีวิตของมหาตมะ คานธี และมุ่งหมายจะซึมซับความรู้สึกอิ่มเอมตลอด 17 ปีที่ ‘บิดาแห่งอินเดีย’ เคยพักอาศัยอยู่ ซึ่งเวลานั้นเป็นช่วงเวลาแห่งการผลิดอกออกผล และก่อร่างสร้างเอกราชให้อินเดียในเวลาต่อมาบ้านหลังนี้คือจุดเริ่มต้นของการต่อสู้เพื่อเสรีภาพแบบอหิงสา ซึ่งคานธีเริ่มเรียนรู้การปั่นด้ายเพื่อใช้ทอผ้าคาดี (Khadiผ้าฝ้ายทอมือ) แล้วจึงชักชวนให้ชาวอินเดียปั่นฝ้ายทอผ้าใช้เอง เหลือแล้วขาย นับเป็นการรณรงค์ไม่ใช้เครื่องจักรและไม่ซื้อสินค้าจากอาณานิคมอังกฤษ และริเริ่มแนวทางสัตยาเคราะห์ – Satyagraha การต่อสู้บนรากฐานของสัจจะ และออกแถลงการณ์รายสัปดาห์ (Saatyagrahi) เพื่อต่อต้านกฎหมายที่ลิดรอนเสรีภาพสื่อ จึงเป็นที่มาของประติมากรรมเครื่องปั่นด้ายทำจากเหล็กภายในบ้านคานธีแห่งนี้ นี่คือสัญลักษณ์แห่งสัจจะและอหิงสา เปรียบเป็นเครื่องมือที่คานธีใช้ในการเคลื่อนไหวสู่อิสรภาพจากอาณานิคมอังกฤษ Gandhi Museum Mani Bhavan ยังเป็นศูนย์รวมจัดการประชุมถกหาแนวทางการต่อสู้จนเกิดเป็นแนวทาง อารยะขัดขืน – Civil Disobedience เป็นบ้านที่หล่อหลอมผู้คนให้ดำเนินการขัดขืนอย่างสงบ สร้างแรงบันดาลใจ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน รวมถึงความเสียสละต่อสาธารณะ พิพิธภัณฑ์บ้านคานธีแห่งมุมไบ จึงทำหน้าที่สะท้อนและส่งต่อปรัชญาคานธี ความรัก เสรีภาพ สันติภาพ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ค่ำ

บริการอาหารค่ำ ณ โรงแรม

ที่พัก Lemon Tree Premire Airport Mumbai หรือเทียบเท่า


วันที่ 5 - มุมไบ - กรุงเทพฯ

เช้า

บริการอาหารเช้า ณ โรงแรมที่พัก

นำท่านชม แนวถนนมารีนไดรฟ์ (Marine Drive) ซึ่งเป็นทางเดินโค้งสำหรับคนเดินถนนเพื่อชมวิวอ่าวแบคเบย์และทะเลอาหรับ พร้อมรับลมเย็นๆ มีร้านค้าแผงลอยขายอาหารแสนอร่อยและเครื่องดื่มเย็นชื่นใจเกือบตลอดทาง และในยามค่ำคืน ไฟจากถนนตลอดแนวมารีนไดรฟ์ก็ส่องประกายเหมือนไข่มุก แลดูเป็นเส้นโค้งวิบวับๆ จนนำมาสู่ ฉายาที่ชาวอินเดียเรียกกันว่า สร้อยคอของราชินี (Queen’s Necklace) นั่นเองนำท่านชม พานทรา วารลี ซีลิงก์ (Bandra-Worli Sea Link; BWSL) หรือชื่อราชการ ราชีพ คานธี ซีลิงก์ (Rajiv Gandhi Sea Link)) เป็นสะพานขึง ซึ่งมี pre-stressed concrete-steel สะพานรถไฟอยู่ปลายสองฝั่ง เชื่อมย่านพานทรา ในเวสเทิร์นซับเอิร์บของมุมไบ เข้ากับ ย่านวารลี ในมุมไบใต้ ดั้งเดิมแล้วสะพานนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการที่ถูกเลื่อนการก่อสร้างออกไป เวสเทิร์นฟรีเวย์ที่ตั้งใจจะเขื่อมเวสเทิร์นซับเอิร์บเข้ากับนริมานพอยท์ในย่านธุรกิจหลักของเมืองมุมไบสะพานนี้ว่าจ้างโดย นิติบุคคลพัฒนาถนนรัฐมหาราษฏระ (Maharashtra State Road Development Corporation; MSRDC) และก่อสร้างโดยบริษัทก่อสร้างฮินดูสถาน สะพานเปิดให้บริการใน 4 เลนแรกจาก 8 เลนเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2009 และเปิดให้บริการครบทั้ง 8 เลนเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2010ซีลิงก์นี้ช่วยร่นระยะเวลาเดินทางระหว่างพานทราและวารลีลงจาก 20-30 นาที เหลือเพียง 10 นาที ได้เวลาอันสมควรนำท่านเดินทางสู่สนามบิน

14.15 น.

ออกเดินทางสู่ กรุงเทพฯ โดยสายการบิน แอร์อินเดีย เที่ยวบินที่ AI340

19.50 น.

เดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิ กรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ


อัตราค่าบริการนี้รวม ( Tour Price Include )

อัตราค่าบริการนี้รวม

1.1. ค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับ ชั้นประหยัด

1.2. ค่าโรงแรมที่พักตามรายการที่ระบุ (สองท่านต่อหนึ่งห้อง)

1.3. ค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ ตามรายการที่ระบุ

1.4. ค่าอาหารและเครื่องดื่มตามรายการที่ระบุ

1.5. ค่ารถรับส่งและระหว่างนาเที่ยวตามรายการที่ระบุค่าขี่ม้าที่หุบเขาโซนามาร์ค (กรณีท่านไม่ขี่ม้าไม่คืนเงินในทุกกรณี)

1.6. ค่าประกันอุบัติเหตุคุ้มครองในระหว่างการเดินทาง คุ้มครองในวงเงินท่านละ 1,000,000 บาท ค่ารักษาพยาบาลกรณีเกิดอุบัติเหตุวงเงินท่านละ 200,000 บาท ตามเงื่อนไขของกรมธรรม์

*หากท่านสนใจซื้อประกันการเดินทางสำหรับครอบคลุมเรื่องสุขภาพสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกับทางเจ้าหน้าที่บริษัทได้

- เบี้ยประกันเริ่มต้น 370 บาท [ระยะเวลา 5-7 วัน]

- เบี้ยประกันเริ่มต้น 430 บาท [ระยะเวลา 8-10 วัน] ความครอบคลุมผู้เอาประกันที่มีอายุมากกว่า 16 หรือน้อยกว่า 75 ปี [รักษาพยาบาล 2 ล้าน, รักษาต่อเนื่อง 2 แสน, เสียชีวิตหรือเสียอวัยวะจากอุบัติเหตุ 3 ล้านบาท] ความครอบคลุมผู้เอาประกันที่มีอายุน้อยกว่า 16 หรือมากกว่า 75 ปี [รักษาพยาบาล 2 ล้าน, รักษาต่อเนื่อง 2 แสน, เสียชีวิตหรือเสียอวัยวะจากอุบัติเหตุ 1.5 ล้านบาท]

อัตราค่าบริการนี้ไม่รวม ( Tour Price Excluded )

อัตราค่าบริการนี้ไม่รวม

 ค่าจัดทำหนังสือเดินทาง (PASSPORT) และค่าทำใบอนุญาตที่กลับเข้าประเทศของคนชาวชาติ หรือ คนต่างด้าว

 ค่าใช้จ่ายอื่นๆ นอกเหนือจากที่ระบุไว้ในรายการและค่าใช้จ่ายส่วนตัวต่างๆ เช่น ค่าโทรศัพท์ ค่าซักรีด ฯลฯ

 ค่าธรรมเนียมน้ำมันของสายการบิน (ถ้ามี)

 ค่าทำเอกสารผู้ถือต่างด้าว /ค่าวีซ่าที่มีค่าธรรมเนียมแพงกว่าหนังสือเดินทางไทย

 ค่าภาษีหัก ณ ที่จ่าย 3% ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% (กรณีออกใบกำกับภาษี)

 ค่าน้ำหนักเกินพิกัดตามสายการบินกำหนด 20 กิโลกรัม /ค่ากิจกรรมพิเศษอื่น(ถ้ามี)

 ค่าทิปรวมตลอดการเดินทาง รวม 50 USD หรือ 1600 บาท/ต่อลูกค้า 1 ท่าน ตลอดการเดินทาง

****ทิปหัวหน้าทัวร์ไทยแล้วแต่ความพึงพอใจในบริการของท่าน บริษัทฯมิได้มีผลประโยชน์ใดๆทั้งสิ้นขึ้นอยู่กับการพิจารณาของท่านเพื่อเป็นกำลังใจให้กับหัวหน้าทัวร์ที่บริการท่าน***

เงื่อนไขการสำรองที่นั่งการชำระเงิน ( Condition of Payment )

การสำรองที่นั่ง

1. *กรุณา ชำระเงินมัดจำ ท่านละ 15,000 บาท พร้อมแจ้งชื่อเป็นภาษาอังกฤษตามหนังสือเดินทาง หรือ Copy Passport มาที่บริษัทฯภายใน 3 วันหลังการจอง....(ที่นั่งจะยืนยันเมื่อได้รับเงินมัดจำแล้วเท่านั้น)หากต้องยื่นวีซ่า ต้องเตรียมเอกสารยื่นวีซ่าให้เรียบร้อยภายใน 2-3 วันหลังจากทำการจองแล้ว (ใช้เวลาขอวีซ่าไม่ต่ำกว่า 7วันทำการ)

2. การชำระค่าทัวร์ส่วนที่เหลือทางบริษัทฯจะเรียกเก็บก่อนเดินทางไม่น้อยกว่า 20 วันท่านควรจัดเตรียมค่าทัวร์ให้เรียบร้อยก่อนกำหนดเนื่องจากทางบริษัทต้องสำรองค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าที่พักและตั๋วเครื่องบินมิฉะนั้นจะถือว่าท่านยกเลิกการเดินทางโดยอัตโนมัติ

*** ในกรณีที่ท่านโอนเงินจากต่างจังหวัด ไม่รวมค่าธรรมเนียมและค่าบริการของธนาคาร

หมายเหตุ : อนึ่งกรุณาแจ้งเจ้าหน้าที่ของบริษัทฯ ทราบถึงการโอนเงินของท่านทางโทรศัพท์หรือทางไลน์ เพื่อส่งฐานการโอนเงินของท่านเพื่อเป็นประโยชน์แก่ท่าน

เงื่อนไขการเปลี่ยนแปลง/ยกเลิก ( Cancellation and Amendment )

การยกเลิก และการเปลี่ยนแปลง

การยกเลิก

5.1 หากมีการชำระมัดจำทัวร์และต้องการยกเลิกไม่ว่ากรณีใดๆก็ตามต้องชำระค่าบริการ ท่านละ 2,000 บาท

5.2 ยกเลิก 30-45 วัน ก่อนการเดินทาง+ค่าวีซ่า (ถ้ามี) ต้องชำระ ท่านละ 5,000 บาท

5.3 ยกเลิก 15 - 29 วัน ก่อนการเดินทาง ต้องชำระ 50% ของราคาทัวร์+ค่าวีซ่า (ถ้ามี)

5.4 ยกเลิกน้อยกว่า 1 - 14 วัน ก่อนการเดินทาง ต้องชำระ 100% ของราคาทัวร์

ยกเลิกช่วงเทศกาล

ยกเลิกก่อนการเดินทาง สงกรานต์-ปีใหม่ 60 วันต้องชำระท่านละ 10,000 บาท

ยกเลิกก่อนการเดินทาง สงกรานต์-ปีใหม่ 50 วันต้องชำระท่านละ20,000+ค่าวีซ่า (ถ้ามี)

ยกเลิกก่อนการเดินทาง สงกรานต์-ปีใหม่ 40 วัน01-29 วัน ชำระ100% ของราคาทัวร์

เงื่อนไขและข้อกำหนดอื่นๆ ( Other Conditions Restrictions )

เงื่อนไขการเดินทาง

1) บริษัทฯ มีสิทธิ์ที่จะเปลี่ยนแปลงรายละเอียดบางประการในทัวร์นี้ เมื่อเกิดเหตุสุดวิสัยจนไม่อาจแก้ไขได้

2) บริษัทฯ ไม่รับผิดชอบค่าเสียหายในเหตุการณ์ที่เกิดจากสายการบิน ภัยธรรมชาติ และอื่นๆที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของทางบริษัทฯหรือค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่เกิดขึ้นทางตรงหรือทางอ้อม เช่น การเจ็บป่วย, การถูกทาร้าย, การสูญหาย, ความล่าช้า หรือจากอุบัติเหตุต่างๆ

3) หากท่านยกเลิกก่อนรายการท่องเที่ยวจะสิ้นสุดลง ทางบริษัทฯ จะถือว่าท่านสละสิทธิ์และจะไม่รับผิดชอบค่าบริการที่ท่านได้ชำระไว้แล้วไม่ว่ากรณีใดๆ ทั้งสิ้น

4) บริษัทฯ จะไม่รับผิดชอบต่อการห้ามออกนอกประเทศ หรือ ห้ามเข้าประเทศ อันเนื่องมาจากมีสิ่งผิดกฎหมาย หรือเอกสารเดินทางไม่ถูกต้อง หรือ การถูกปฏิเสธในกรณีอื่นๆ

5) รายการนี้เป็นเพียงข้อเสนอที่ต้องได้รับการยืนยันจากบริษัทฯ อีกครั้งหนึ่ง หลังจากได้สารองที่นั่งบนเครื่อง และโรงแรมที่พักในต่างประเทศเป็นที่เรียบร้อย แต่อย่างไรก็ตามรายการนี้อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม

6) ราคานี้คิดตามราคาตั๋วเครื่องบินในปัจจุบัน หากราคาตั๋วเครื่องบินปรับสูงขึ้น บริษัทฯ สงวนสิทธิ์ที่จะปรับราคาตั๋วเครื่องบินตามสถานการณ์ดังกล่าว

7) กรณีเกิดความผิดพลาดจากตัวแทน หรือ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จนมีการยกเลิก ล่าช้า เปลี่ยนแปลง การบริการจากสายการบินบริษัทฯขนส่ง หรือ หน่วยงานที่ให้บริการ บริษัทฯจะดาเนินโดยสุดความสามารถที่จะจัดบริการทัวร์อื่นทดแทนให้ แต่จะไม่คืนเงินให้สาหรับค่าบริการนั้นๆ

8) มัคคุเทศก์ พนักงาน และตัวแทนของบริษัทฯ ไม่มีสิทธิ์ในการให้คำสัญญาใดๆ ทั้งสิ้นแทนบริษัทฯ นอกจากมีเอกสารลงนามโดยผู้มีอานาจของบริษัทฯ กากับเท่านั้น

9) หากไม่สามารถไปเที่ยวในสถานที่ที่ระบุในโปรแกรมได้ อันเนื่องมาจากธรรมชาติ ความล่าช้า และความผิดพลาดจากทางสายการบิน จะไม่มีการคืนเงินใดๆทั้งสิ้น แต่ทั้งนี้ทางบริษัทฯจะจัดหารายการเที่ยวสถานที่อื่นๆมาให้ โดยขอสงวนสิทธิ์การจัดหานี้โดยไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้า

10) เมื่อท่านออกเดินทางไปกับคณะแล้ว ท่านงดการใช้บริการรายการใดรายการหนึ่ง หรือไม่เดินทางพร้อมคณะถือว่าท่านสละสิทธิ์ ไม่อาจเรียกร้องค่าบริการ และเงินมัดจาคืน ไม่ว่ากรณีใดๆ ทั้งสิ้น

11) ในกรณีที่ลูกค้าต้องออกตั๋วโดยสารภายในประเทศ กรุณาติดต่อเจ้าหน้าที่ของบริษัทฯ ก่อนทุกครั้ง มิเช่นนั้นทางบริษัทฯ จะไม่รับผิดชอบค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น

12) กรณีเจ็บป่วยจนไม่สามารถเดินทางได้ซึ่งจะต้องมีใบรับรองแพทย์จากโรงพยาบาลรับรองบริษัทฯจะพิจารณาเลื่อนการเดินทางของท่านไปยังคณะต่อไปแต่ทั้งนี้ท่านจะต้องเสียค่าใช้จ่ายที่ไม่สามารถเรียกคืนได้ เช่นค่าตั๋วเครื่องบินค่าห้อง ค่าธรรมเนียมวีซ่าตามที่สถานทูตฯ เรียกเก็บ และค่าใช้จ่ายอื่นๆที่เกิดขึ้นตามจริง ในกรณีที่ไม่สามารถเดินทางได้

13) กรณียื่นวีซ่าแล้วไม่ได้รับการอนุมัติวีซ่าจากทางสถานทูต (วีซ่าไม่ผ่าน) และท่านได้ชาระค่าทัวร์หรือมัดจามาแล้ว ทางบริษัทฯ คืนค่าทัวร์หรือมัดจาให้ แต่ทางบริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการหักค่าบริการยื่นวีซ่า, ค่าวีซ่า และค่าใช้จ่ายบางส่วนที่เกิดขึ้นจริงเป็นกรณีไป (อาทิ กรณีออกตั๋วเครื่องบินไปแล้ว หรือได้ชาระค่าบริการในส่วนของทางเมืองนอกเช่น โรงแรม ฯลฯ ไปแล้ว) ทางบริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการหักเก็บค่าใช้จ่ายจริงที่เกิดขึ้นแล้วกับท่านเป็นกรณีไป

14) กรณีวีซ่าผ่านแล้ว แจ้งยกเลิกก่อนหรือหลังออกตั๋วโดยสาร บริษัทฯ ขอสงวนสิทธิ์ในการ ไม่คืนค่าทัวร์ทั้งหมด

15) กรณีวีซ่าผ่านแล้ว แต่กรุ๊ปออกเดินทางไม่ได้ เนื่องจากผู้เดินทางท่านอื่นในกลุ่มโดนปฏิเสธวีซ่า หรือไม่ว่าด้วยสาเหตุใดๆก็ตาม ทางบริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการหักเก็บค่าใช้จ่ายจริงที่เกิดขึ้นแล้วกับท่านเป็นกรณีไป

16) กรณีผู้เดินทางไม่สามารถเข้า-ออกเมืองได้ เนื่องจากเอกสารปลอมหรือการห้ามของเจ้าหน้าที่ไม่ว่าเหตุผลใดๆ ก็ตามทางบริษัทของสงวนสิทธิ์ในการ ไม่คืนค่าทัวร์ทั้งหมด

17) ทางบริษัทขอสงวนสิทธิ์ราคานี้เฉพาะนักท่องเที่ยวชาวไทยและท่องเที่ยวเป็นหมู่คณะแบบ Join Tour เท่านั้น กรณีต้องการตัดกรุ๊ปเหมาโปรดสอบถามทางบริษัทอีกครั้ง หากเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ หรือ พระสงฆ์ โปรดสอบถามทางบริษัทอีกครั้ง

18) ในกรณีที่ลูกค้าต้องออกตั๋วโดยสารภายในประเทศกรุณาติดต่อเจ้าหน้าที่ของบริษัทฯก่อนทุกครั้งมีเช่นนั้นทางบริษัทฯจะ ไม่รับผิดชอบค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น

19) หากมีการยกเลิกการจองทัวร์หลังได้ทำการยื่นวีซ่าเรียบร้อยแล้วบริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการนำเล่มพาสปอร์ตไปยกเลิกวีซ่าในทุกกรณีไม่ว่าค่าใช้จ่ายในการยื่นวีซ่าจะรวมหรือแยกจากรายการทัวร์ก็ตาม

ข้อมูลการยื่นวีซ่า ( Visa Information )

เอกสารในการยื่นวีซ่าท่องเที่ยวอินเดียแบบออนไลน์ไม่ต้องมาแสดงตัว

รูปถ่ายสี (ถ่ายมาไม่เกิน 3 เดือน ขนาด 2×2 นิ้ว) 1 รูป พื้นหลังสีขาว จำนวน 2ใบเป็นรูปที่ถ่ายจากร้านถ่ายรูปเท่านั้น รูป (ห้ามสวมแว่นตาหรือเครื่องประดับ, ไม่ใส่ชุดข้าราชการหรือเครื่องแบบใดๆ ไม่เป็นรูปสติ๊กเกอร์รวมถึงห้ามใช้รูปที่ถ่ายเองและปริ้นท์เอง)

สำเนาหนังสือเดินทางมีอายุมากกว่า 6 เดือน

สำเนาบัตรประชาชน 1 ชุด

สำเนาทะเบียนบ้าน 1 ชุด

• สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน 2 ชุด ถ้าเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ใช้สำเนาสูติบัตรและบัตรประชาชน

สำเนาหน้าวีซ่าที่เคยเดินทางไปประเทศอินเดีย 1 ชุด (หากมี)


วันที่ 1
กรุงเทพฯ – มุมไบ – ออรังกาบัต
วันที่ 2
ออรังกาบัด - ถ้ำอะจันต้า - ออรังกาบัด
วันที่ 3
ออรังกาบัด - ถ้ำแอลโรล่า - ออรังกาบัด - มุมไบ
วันที่ 4
มุมไบ - ถ้ำเกาะช้าง - มุมไบ
วันที่ 5
มุมไบ - กรุงเทพฯ